บทความนี้ foromarbella จะมาพูดถึงการละเล่นจ้ำจี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายคำว่า จ้ำจี้ ไว้ว่า การละเล่นเล่นชนิดหนึ่งของเด็ก และรูปแบบของการเล่นชนิดนี้ ถูกนำไปใช้ว่า จ้ำจี้จ้ำไช หมายความถึงอาการที่พร่ำพูดพร่ำสอน ศาสตราจารยพระยาอนุมานราชธน เล่าเรื่องการ “จ้ำจี้” ไว้ใน งานนิพนธ์ชุดสมบูรณ์ หมวดเบ็ดเตล็ด – ความรู้ทั่วไป เล่มที่ 6 เรื่องสารานุกรม ของเสฐียรโกเศศว่า การเช่นจ้ำจี้ เริ่มต้นด้วยการที่เด็ก หลายคน นั่งล้อมวง เอามือแบทั้งสองข้างของแต่ละคน แผ่ทาบลงพื้น ข้างหน้า เด็กคนหนึ่งในวง ซึ่งไม่ได้แผ่มือวางเหมือนคนอื่น เป็นผู้ดำเนินการเล่น เด็กคนนั้น จะเอามือแจะ (แตะ ?) ที่หลังมือเด็กอื่น ๆ ในวง จะเริ่มต้น ไปทางซ้ายหรือไปทางขวาก่อนก็ได้ ปากก็ท่องร้องบทจ้ำจี้
บทจ้ำจี้เหล่านี้ ที่เป็นอย่างสั้น ก็มีอย่างยาวก็มี สุดแล้วแต่เด็กผู้จี้ จะเลือกและจำได้ ข้อความในบทจ้ำจี้ แปลได้ความบ้าง ไม่ได้ความบ้าง ปนกันยุ่ง ถ้าคำร้องสุดท้าย ของบทจ้ำจี้ ตกที่มือผู้กถูกจี้ เด็กเจ้าของมือ ก็ต้องชักมือออก เด็กผู้ดำเนินการ ก็ขึ้นบทจ้ำจี้นั้นใหม่ เวียนต่อไปหลายรอบ หลายครั้ง จนกว่ามือเหล่านั้นจะถูกชักออกไป จนเหลือสุดท้าจแต่มือเดียว เด็กเจ้าของมือ ก็ตกอยู่ในฐานะโหล่ผี ต้องรับเคราะห์ ก้มลงโก้งโค้ง อยู่กลางวง ให้เด็กอื่นรุมกัน “กินโต๊ะ” การกินโต๊ะ ก็คือเด็ก ๆ ต่างก็เอามือไปขยุ้มที่บนหลัง ปากก็พูดว่า “กินตับกินปอด กินไส้กินพุง” แล้วก็ทำเสียงจุบจับไปตามเรื่อง ดูประหนึ่งว่าเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย ทำกันอย่างนี้สักครู่ จนรู้สึกว่า อิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ต้องเช็ดมือ คือเอามือไปยีหัวเด็กผู้ซึ่งเล่นบท “โหล่ผี” แล้วก็ถือว่า การเล่นจ้ำจี้จบลงระยะหนึ่ง
ศาสตราจารย์พระยาอนุมานราชธนบอกว่า การเล่นจ้ำจี้ทำนองนี้ ไม่ใช่มีแต่ในไทย ชาวชนอื่น ๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย และชาวตะวันตก ก็เล่นเหมือนกัน ว่าตามแนววิทยาว่าด้วยคติชาวบ้าน การเล่นจ้ำจี้ น่าจะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่เล่นกันมาก่อน ความเชื่อถือของมนุษย์ สมัยดึกดำบรรพ์ มนุษย์ยังมีสภาพไม่ห่างไกลกับสัตว์สักกี่มากน้อย เมื่อมนุษย์จับผู้อื่นมาได้ ก็ฆ่าบูชายัญ เป็นเครื่องพลีสังเวยผีสางเทวดา หรือเทพเจ้าที่เข้าใจเองว่าโปรดเนื้อมนุษย์ เมื่อสมมติว่า เทพเจ้าเสวยอิ่มแล้ว สิ่งที่บูชายัญยังอยู่บริบูรณ์ ไม่มีแหว่ง หรือบกพร่อง ก็เข้าใจว่า เทพเจ้าเสวยแต่ส่วนที่เป็นสาระไปแล้ว เหลือสิ่งที่เป็นกาก มนุษย์ก็เอามากินกันต่อ เหมือนคนจีนไหว้เจ้า
เด็กเล่นจ้ำจี้ สันนิษฐานว่า เด็ก ๆ จะเอาอย่างจากผู้ใหญ่ เมื่อต้องการฆ่าศัตรูที่จะจับมาบูชายัญ ไม่ทราบว่าจะเลือกฆ่าคนไหก่อน จึงจะถูกใจเทพเจ้า ก็ต้องใช้วิธีเสี่ยงทายการที่เด็กที่กินโต๊ะ ถูกเรียกว่า “โหล่ผี” คำนี้เป็นคำไม่เฉพาะเล่นจ้ำจี้เท่านั้น แม้การเล่นอย่างอื่น ถ้าโหล่ ก็เรียกว่า “โหล่ผีไ เหมือนกัน คำบอกอยู่ในตัวว่าคนอยู่โหล่ จะต้องตายไปเป็นผี ถูกเอาตัวไปบูชายัญ ไม่อย่างนี้จะต้องมีคำว่า “ผี” ต่อท้ายไว้ทำไม
เหตุที่บทจ้ำจี้ เป็นภาษาบ้าง ไม่เป็นภาษาบ้าง ก็เนื่องจากบทในทีแรก เป็นถ้อยคำที่นึกอะไรได้ก็พูดพ่ง ๆ ไป เพราะต้องการใช้คำพูดเป็นคะแนนนับ จะเป็นภาษาไม่เป็นภาษา ไม่สำคัญ เด็กจำมาเอามาถูกบ้างผิดข้าง ตามเรื่องของเด็ก เหตุนี้ จึงมีบทจ้ำจี้อยู่หลายบท ไม่จำเป็นต้องมีถ้อยคำอย่างเดิมเสมอไป อาจมีการปรับปรุงแก้ไขกันเรื่องยมา และที่แต่งขึ้นใหม่ก็คงมี จะทราบว่าเก่าใหม่ ต้องพิจารณาถ้อยคำที่กล่าวไว้ในบทจ้ำจี้ เท่าที่สอบถาม พบเหตุที่บทจ้ำจี้แตกต่างกัน ก็เพราะทั้งหลาย ย่อมมีอายุขัยของมัน ถ้าหมดอายุแล้วก็ต้องตาย บางสิ่งที่ยังไม่หมดอายุ หรืออยู่ได้นานเกินอายุ ก็เพราะมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ ๆ ให้เข้ากันได้กับสิ่งแวดล้อมใหม่ แต่การเปลี่ยนจะต้องอยู่ในขอบเขต ซึ่งเป็นบุคลิกภาพของสิ่งนั้นไม่เช่นนั้น ก็จะไม่เป็นสิ่งนั้นอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นสิ่งอื่น
จึงพอสรุปได้ว่า เด็กที่รุมกันกินโต๊ะ กินตับไตไส้พุง และอะไรต่ออะไร คงสืบเนื่องมาจากคนกินเนื้อคนที่บูชายัญ อันเป็นเดนที่เทพเจ้าเสวย ภาษาสันสกฤตเรียกเครื่องอาหารและขนมนมเนยที่สังเวย บูชาเสร็จ คนกินได้ว่า การาปราสาท ถือกันว่ากินแล้วได้บุญ กินเสร็จแล้วมือเปื้อนเปรอะอยู่ ก็เช็ดที่ผมของคนที่ถูกบูชายัญ ศาสตราจารย์พระยาอนุมานราชธน ปรารภว่า การเล่นจ้ำจี้ ของเด็กรุ่นใหม่ จบลงตรงเช็ดมือที่ผม ไม่เคยพบเห็น แม้แต่คำว่า โหล่ผี ก็ไม่มีพูดกันให้ยินอีกแล้ว
สนับสนุนโดย tangball789.com