Thursday, 4 April 2024

ทำอย่างไร ? เพื่อลดอาการปวดท้องเวลามีประจำเดือน

11 Mar 2023
248

ปก ทำอย่างไร ? เพื่อลดอาการปวดท้องเวลามีประจำเดือน

ประจำเดือนกับผู้หญิงเป็นของคู่กัน และสิ่งที่เปรียบเสมือนฝันร้ายที่ตามมาของการมีประจำเดือนสำหรับผู้หญิงคือ อาการปวดท้องประจำเดือน บางคนอาจมีอาการปวดถึงขั้นต้องหยุดงาน หรือหยุดเรียน หรือปวดถึงขนาดที่ไม่สามารถนอนหลับได้ ยิ่งใครที่ปวดหนัก ปวดบ่อยทุกเดือนอาจสร้างปัญหาให้กับการใช้ชีวิตได้ไม่น้อย เป็นประจำเดือนว่าลำบากแล้ว หากยิ่งมีอาการปวดท้องยิ่งลำบากกว่า ดังนั้น foromarbella พามาดูสาเหตุของการปวดประจำเดือน และวิธีบรรเทาอาการปวดด้วยตนเองกัน

อาการปวดท้องประจำเดือนที่พบได้บ่อย

ส่วนใหญ่แล้วอาการปวดท้องประจำเดือน หรือปวดท้องเมน (Period pain) มักจะเกิดก่อนที่ประจำเดือนจะมาประมาณ 1-2 วัน หรือจะปวดขณะที่มีประจำเดือน โดยอาการปวดของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน บางคนจะมีอาการปวดแบบปวดบิด ๆ หรือปวดเป็นพัก ๆ บริเวณท้องน้อย บางคนอาจมีอาการปวดร้าวไปถึงหลัง และบริเวณต้นขา นอกจากนี้ยังอาจเกิดอาการอื่น ๆ ได้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ถ่ายเหลว เป็นต้น

สาเหตุของอาการปวดท้องประจำเดือน

ปวดท้องประจำเดือนเกิดจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูกเพื่อให้ร่างกายขับเนื้อเยื่อภายในมดลูกออกมาเป็นประจำเดือน แต่บางครั้งอาจมีการบีบตัวของกล้ามเนื้อที่รุนแรงมากกว่าปกติจนอาจไปกดทับหลอดเลือดบริเวณใกล้เคียงจนทำให้ออกซิเจนไม่สามารถเข้าไปหล่อเลี้ยงได้จึงทำให้เกิดอาการปวดเกร็ง และในช่วงที่มีประจำเดือนร่างกายจะมีการผลิตสารที่ชื่อว่า โพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ที่เป็นสารที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อมดลูกเกิดการบีบตัวมากขึ้นด้วย

ปวดท้องประจำเดือน-กินยาอะไร

นอกจากนี้อาการปวดประจำเดือนยังอาจเกิดขึ้นจากปัญหาเกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์อื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น

– เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ภาวะนี้จะทำให้ปวดท้องมาก โดยจะมีอาการติดต่อกันนานกว่า 6 เดือน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากได้ด้วย

– ถุงน้ำในรังไข่ (Polycystic Ovary Syndrome) เป็นความผิดปกติของระดับฮอร์โมนทำให้เกิดถุงน้ำจำนวนมากในรังไข่ ผู้ป่วยจะมีประจำเดือนที่ผิดปกติ เช่น ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ประจำเดือนมานานกว่าปกติ เป็นต้น

– เนื้องอกมดลูก เป็นเนื้องอกที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อของมดลูก ซึ่งมักจะพบได้บ่อยในผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป โดยเนื้องอกที่ว่านี้จะมีขนาดเล็กมากไปจนถึงมีขนาดใหญ่เท่าลูกแตงโม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ หรือทำให้มีลูกยากได้ อาการที่แสดงออกมาในบางรายอาจปวดท้องเมนอย่างรุนแรง หรือประจำเดือนมามาก และมาเป็นเวลานานผิดปกติ

– อุ้งเชิงกรานอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบอวัยวะสืบพันธุ์ โดยอาการหลักจะเป็นการปวดที่อุ้งเชิงกราน และยังส่งผลให้ผู้ป่วยปวดประจำเดือน ตกขาวมีกลิ่นเหม็นคาวด้วย

– ปากมดลูกตีบ ทำให้ขัดขวางการไหลของเลือดประจำเดือน และเกิดแรงดันภายในมดลูกมาก ก่อให้เกิดอาการปวดประจำเดือน และประจำเดือนมาไม่ปกติ

ปวดท้องประจำเดือน

ปวดประจำเดือนแบบไหนที่ต้องเข้าพบแพทย์

อาการปวดประจำเดือนสำหรับผู้หญิงอาจมองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่บางครั้งการปวดประจำเดือนอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายที่ต้องได้รับการรักษา โดยอาการที่ควรเข้าพบแพทย์มีดังนี้

– รับประทานยาแล้วแต่ยังไม่หายปวด

– อาการปวดประจำเดือนเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกเดือน

– อายุ 25 ปีขึ้นไป และรู้สึกปวดประจำเดือนอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก

– ปวดประจำเดือนพร้อมกับมีไข้

– ประจำเดือนมามากกว่าปกติ โดยต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกชั่วโมง

– รู้สึกปวดท้องน้อยแม้ไม่มีประจำเดือน

– ตกขาวมีกลิ่น รู้สึกคันบริเวณปากช่องคลอด เลือดประจำเดือนมีสีแปลกไปจากปกติ

– มีปัญหาด้านการมีบุตร

ปวดหลังประจำเดือน

ในช่วงวันนั้นของเดือน แต่คุณต้องมานั่งทำงาน เผชิญกับงานกองสุมท่วมหัวอยู่บนโต๊ะ แถมด้วยอาการปวดหน่วงๆ บริเวณท้องน้อย อาการเมื่อยเนื้อ เมื่อยตัวที่ยังเข้ามารบกวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง สร้างความทรมาน หงุดหงิด ชนิดหน้าบอกบุญไม่รับจนเพื่อนข้างๆ ไม่อยากเข้าใกล้ มาดู 5 วิธีรับมือง่ายๆ กับอาการปวดประจำเดือนที่ทำได้ในออฟฟิศ

– เลือกมื้อเช้าด้วยเมนูย่อยง่าย หลีกเลี่ยงชา กาแฟ เริ่มมื้อเช้าก่อนเข้างานด้วยอาหารอุ่นๆ ย่อยง่าย คุณอาจเลือกรับประทานโจ๊ก นมอุ่นๆ คู่กับขนมปัง จะช่วยให้สบายท้องมากขึ้น ควรหลีกเลี่ยงคาเฟอีนที่พบได้ในกาแฟ ชา น้ำอัดลม เพราะคาเฟอีนมีฤทธิ์ขับปัสสาวะซึ่งจะทำให้อาการปวดในช่องท้องของคุณหนักหนามากขึ้น และควรดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ เพื่อช่วยรักษาความสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ทำให้อาการปวดท้องประจำเดือนลดลงได้

– ระหว่างนั่งทำงาน จิบน้ำอุ่นๆ ก็ช่วยได้ การดื่มน้ำเปล่าอุ่นๆ ระหว่างวันจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้หายจากอาการปวดประจำเดือน อาจเลือกเป็นน้ำอุ่นธรรมดา น้ำผึ่งผสมมะนาว หรือน้ำขิงอุ่นๆ ก็ได้เช่นกัน หากเลือกน้ำผึ้งผสมมะนาว สรรพคุณนอกจากสบายท้อง เลือดไหลเวียนดีแล้ว น้ำผึ้งยังช่วยต้านการอักเสบภายในร่างกาย ส่วนน้ำมะนาวก็เป็นแหล่งของวิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้คุณสดชื่น พร้อมลุยงานต่อได้ ส่วนถ้าใครชอบน้ำขิงก็จะช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้อีกทางหนึ่ง

– มื้อเที่ยงต้องจัดผัก หนักไฟเบอร์ การรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์มากๆ นอกจากดีต่อระบบขับถ่ายแล้วยังช่วยปรับให้ฮอร์โมนในร่างกายสมดุลด้วย เพราะอาหารที่มีไฟเบอร์สูง แคลอรีต่ำจะช่วยลดอาการฮอร์โมนแปรปรวนลง ลดการปวดท้อง และปวดหลังในช่วงมีประจำเดือนได้ดีขึ้น แนะนำผักใบสีเขียวเข้ม เช่น ผักโขม ผักปวยเล้ง ที่เต็มไปด้วยธาตุแมกนีเซียม อาจเลือกเมนูเป็นสุกกี้ หรือข้าวกล้องรับประทานคู่กับผัดผักก็ได้เช่นกัน อาหารอื่นๆ ที่มี แมกนีเซียม ซึ่งเป็นสารที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อ ทำให้อาการปวดของคุณลดน้อยลงยังมีอยู่ในถั่วอัลมอนด์ ข้าวโอ๊ต กล้วย นม และโยเกิร์ต ซึ่งหารับประทานได้ในร้านสะดวกซื้อ หรือเลือกตบท้ายมื้อกลางวันด้วยผลไม้ก็ได้

สนับสนุนโดย 12betsiam.com